รวมเรื่อง ฝ้า ที่ควรรู้ ป้องกันและจัดการได้อย่างไร

ฝ้า เป็นปัญหาผิวหนังที่หลายคนประสบและเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะในผู้หญิง ฝ้ามักเกิดขึ้นบนใบหน้าเป็นจุดหรือแผ่นสีคล้ำที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผิวดูไม่สม่ำเสมอ แต่ยังทำให้ผู้ที่มีฝ้ารู้สึกไม่มั่นใจในตนเองอีกด้วย ดังนั้นการเข้าใจสาเหตุและวิธีการรักษาฝ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฝ้าดื้อ ปัญหาผิวที่พบได้บ่อย แล้วจะจัดการได้อย่างไร

ฝ้า คืออะไร?
ฝ้า (Melasma) เป็นภาวะผิวหนังที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี ฝ้าจะมีลักษณะปรากฏเป็นจุดหรือเป็นปื้นสีคล้ำที่มีขอบไม่ชัดเจน สีของฝ้าอาจเป็นสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม หรือสีเทาคล้ำ ขึ้นอยู่กับความลึกของเม็ดสีที่สะสมอยู่ในชั้นผิวหนัง ซึ่งมักพบได้บ่อยบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก แก้ม จมูก และเหนือริมฝีปาก แต่อาจเกิดขึ้นที่อื่น ๆ บนร่างกายที่ได้รับแสงแดดมากเช่นกัน

รู้จัก ประเภทของฝ้า เพื่อจัดการปัญหาได้อย่างตรงจุด
ฝ้า มีหลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากรังสียูวีในแสงแดดที่ทำลายผิวถึงชั้นลึกทำให้เกิดสีผิวปกติ รวมถึงฮอร์โมน และพันธุกรรม โดยหลัก ๆ สามารถแบ่งประเภทของฝ้าได้ออกเป็น 3 ประเภท ตามตำแหน่งที่เม็ดสีสะสมอยู่ในชั้นผิว ได้แก่

ประเภทของฝ้า
  • ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) เกิดในชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) ฝ้าประเภทนี้มักจะลักษณะสีน้ำตาลเข้ม เห็นขอบชัด เกิดในระดับผิวหนังชั้นนอกสุด (ผิวชั้นหนังกำพร้า) และสามารถรักษาได้ง่ายกว่าฝ้าประเภทอื่น
  • ฝ้าลึก (Dermal Melasma) เกิดในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) มีลักษณะสีอ่อน อาจเป็นสีน้ำตาล เทา หรือม่วง เห็นขอบไม่ชัดเจน แม้ฝ้าประเภทนี้จะมีสีอ่อนกว่าแต่รักษาได้ยากกว่าประเภทอื่น ๆ
  • ฝ้าผสม (Mixed Melasma) เป็นการผสมผสานระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าลึก ซึ่งเกิดฝ้าในชั้นผิวทั้งหนังแท้และหนังกำพร้าทำให้มีลักษณะสีเข้มในบางบริเวณและสีอ่อนในบางบริเวณ

สาเหตุของการเกิดฝ้า
ฝ้า เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนัง ซึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้ามีหลายประการ อาทิเช่น

  • แสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดฝ้า เนื่องจากรังสี UV จะกระตุ้นการผลิตเมลานินในผิวหนัง ซึ่งทำให้ผิวหนังบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย ๆ จะมีสีที่คล้ำขึ้น และเมื่อมีการสะสมไปเรื่อยๆ อาจเกิดฝ้าหรือกระได้ในที่สุด
  • ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด หรือการใช้ฮอร์โมนทดแทน สามารถกระตุ้นการเกิดฝ้าได้
  • พันธุกรรม หากมีประวัติบุคคลในครอบครัวที่มีปัญหาฝ้า ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดฝ้าขึ้นกับตนเองได้เช่นกัน ซึ่งปัจจัยนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หลีกเลี่ยงได้ยากมากที่สุด
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเกิดฝ้าได้

ฝ้า น่ากลัวกว่าที่คิด หากละเลยจะเป็นอย่างไร?

แม้ว่า ฝ้า จะสร้างความหนักใจให้ใครหลาย ๆ คน แต่มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเพิกเฉยและละเลยกับปัญหานี้อยู่ ซึ่งฝ้าส่วนใหญ่หลายคนอาจไม่ทราบว่าหากยิ่งทิ้งไว้นาน ฝ้าจะยิ่งเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรละเลย เพราะอาจจะทำให้รักษาได้ค่อนข้างยากและใช้เวลานาน โดยระยะเวลาที่ฝ้าจะคงอยู่บนใบหน้านั้น แตกต่างกันตามลักษณะของฝ้าแต่ละประเภท หากเป็นฝ้าแดดอาจใช้ระยะเวลานานหลายเดือน ซึ่งบางคนฝ้าก็ยังคงฝังแน่นและไม่มีท่าทีว่าจะจางลง

แต่หากรู้จักวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสม ก็สามารถป้องกันการเกิดและทำให้ฝ้าจางลงได้ โดยการใช้สกินแคร์เป็นวิธีที่นิยมอีกวิธีหนึ่ง เพราะมีความปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ ดังนั้นการเลือกสกินแคร์ที่ช่วยรักษาฝ้าก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน โดยควรเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสาร Cysteamine ซึ่งเป็นสารที่มีงานวิจัยแล้วว่า มีประสิทธิภาพในการลดปัญหาฝ้าได้ดีที่สุด

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับฝ้า ที่ไม่ควรมองข้าม

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับฝ้า

ปัจจุบันมีวิธีรักษาฝ้ามากมาย ซึ่งบางวิธีก็เป็นวิธีที่อันตราย แม้จะสามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว แต่มีผลเสียต่อผิวอย่างมากในอนาคตและอาจทำให้ฝ้าฝังลึกยิ่งไปกว่าเดิม จึงขอรวบรวมความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรักษาฝ้ามาเตือนกัน อาทิเช่น

  • การกรอผิว เป็นการกำจัดเซลล์ผิวโดยใช้ผงอัญมณีพ่นเพื่อให้ฝ้าดูจางลง แต่ต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผล ซึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคือง อักเสบ ไวต่อแสง ฯลฯ
  • ครีมหน้าขาวที่มีส่วนผสมของสารอันตรายอย่างสเตียรอยด์ (Steroid) และไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) แม้จะมีฤทธิ์ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน แต่หากใช้เป็นเวลานาน อาจทำให้ฝ้าฝังลึกกว่าเดิม ผิวบาง สารเคมีตกค้าง และอาจเกิดมะเร็งผิวหนังได้
  • การแต่งหน้ากลบ เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ฝ้าจางลง อาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย

ถ้าเกิด ฝ้าดื้อ จะจัดการได้อย่างไร

ฝ้า เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีอายุและผู้ที่เจอกับแสงแดดบ่อยครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้ฝ้าเป็นปัญหาที่ยุ่งยากคือการเป็น “ฝ้าดื้อ” ที่รักษายากและมักจะกลับมาเป็นใหม่เมื่อได้รับการรักษาไม่ถูกวิธี ดังนั้นมาทำความรู้จักกับฝ้าดื้อและวิธีการจัดการที่เหมาะสมกันเถอะ

ฝ้าดื้อ คือ ฝ้าที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไปได้ดี หรือมีการกลับมาเป็นใหม่บ่อยครั้งหลังการรักษา สาเหตุของการเกิดฝ้าดื้ออาจมาจากหลายปัจจัย เช่น

  • การรักษาฝ้าที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น การหยุดการรักษากลางคัน หรือไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ตามคำแนะนำของแพทย์
  • การสัมผัสกับแสงแดดโดยที่มีการปกป้องไม่เพียงพอ ทำให้ฝ้ากลับมาเป็นใหม่ได้ง่าย
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น มีส่วนผสมที่แรงเกินไป อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเพิ่มความเข้มของฝ้าได้
  • ฮอร์โมน หรือฝ้าฮอร์โมน เกิดจากความผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งหากผลิตออกมามากเกินไป อาจทำให้ฝ้าเดิมมีระดับความเข้มของฝ้าเพิ่มมากขึ้น

ส่วนวิธีการจัดการกับฝ้าไม่ว่าจะเป็นฝ้าตื้นหรือดื้อนั้น มีอยู่หลายวิธี

เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยการรักษาฝ้าและป้องกันฝ้า

การจัดการฝ้าที่ได้ผลและปลอดภัยในระยะยาวทำได้ง่าย ๆ สามารถช่วยป้องกันการเกิดฝ้า ซึ่งเป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจและต้องใช้เวลาในการรักษาให้จางลง จึงได้รวบรวมเคล็ดลับที่ช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้ง่าย ๆ อาทิเช่น

  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ และ PA++++ ที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA, UVB และควรทาก่อนออกแดดประมาณ 15-30 นาที
  • การใช้ยาทาเฉพาะที่ ยาทาบางชนิด เช่น ไฮโดรควิโนน กรดเรติโนอิก หรือสารสกัดจากพืช สามารถช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ แต่การใช้งานต้องเป็นไปตามคำแนะนำและการควบคุมของแพทย์เท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงต่าง ๆ ซึ่งหากมีการใช้งานอย่างผิดวิธี ปัญหาฝ้าและปัญหาผิวอื่น ๆ อาจลุกลามยิ่งไปกว่าเดิม
  • การรักษาด้วยวิธีเลเซอร์เทคโนโลยีอื่น ๆ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า แต่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  • การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและปัจจัยเฉพาะของฝ้าดื้อ จะช่วยให้สามารถจัดการกับฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การใช้เลือกสกินแคร์บำรุงผิว ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการดูแลและปกป้องผิว เพียงแค่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี, Cysteamine (ซีสเตียมีน), Phytic Acid เป็นต้น หากมีปัญหาฝ้าดื้อร่วมด้วย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดฝ้าดื้อโดยเฉพาะ เช่น Cysteamine (ซีสเตียมีน) ที่ช่วยลดฝ้าเดิมและช่วยป้องกันฝ้าใหม่ได้ตั้งแต่ต้นตอการเกิดของเม็ดสีผิว และ Acétyl Glycyl ß-Alanine ไวท์เทนนิ่งเปปไทด์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาฝ้าและจุดด่างดำ ควบคุมกลไลในการสังเคราะห์เม็ดสีผิว

ตัวช่วยรักษาฝ้า ที่ยืนยันแล้วจากผู้ใช้จริง

Mela Bright [C+] Serum

Mela Bright [C+] Serum เซรั่มที่ช่วยลดเลือน ฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่ถูกพัฒนามาเพื่อดูแลปัญหาฝ้าต่างๆ โดยเฉพาะฝ้าดื้อเรื้อรัง จุดด่างดำฝังลึกและสีผิวไม่สม่ำเสมอ ด้วยส่วนผสมสำคัญอย่าง Stabilized Cysteamine สุดยอดสารที่มีประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาฝ้าฝังลึก ให้ผลลัพธ์เทียบเท่า 4% Hydroquinone แต่ปลอดภัยกว่าและไม่ทำร้ายผิว สามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

ผสานด้วย L-Ascorbic Acid หรือ วิตามินซีบริสุทธิ์ (3rd Generation) สูตรพัฒนาโดยเทคโนโลยี NextGen® สูตรเฉพาะที่มีความเสถียรสูงกว่าวิตามินซีทั่วไป ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ป้องกันจุดด่างดำใหม่และปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพต่างๆ ซึ่งเป็นการรวมกันของสารต้านอนุมูลอิสระถึง 4 ชนิด ในขวดเดียว

จากผลการศึกษาเบื้องต้นของการเปรียบเทียบใบหน้า 2 ฝั่ง (Hemifacial) ใน 2 เดือนเพื่อประเมินประสิทธิภาพการลดเม็ดสี และการต่อต้านริ้วรอยของ Mela Bright [C+] Serum เปรียบเทียบกับ Hydroquinone 4% ในกลุ่มผู้ใช้จริง 25 ราย โดยแพทย์ผิวหนัง Dr. Nakano, AOI Clinic, เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ผลการวิจัยพบว่า
• การรักษาจาก Mela Bright [C+] Serum และ Hydroquinone 4% มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน โดยที่ Mela Bright [C+] Serum ไม่ทำร้ายผิวและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบต่อผิว สามารถใช้งานได้ในระยะยาว
• ใบหน้าฝั่งที่ใช้ Mela Bright [C+] Serum พบว่า

– ฝ้าลดลงได้สูงถึง 84%
– ริ้วรอย รูขุมขน ความมันบนใบหน้าลดลงเฉลี่ย 20%

ใช้ได้โดยไม่มีการระคายเคือง 100% : การระคายเคือง 0 ราย คัดออกจากการทดลอง 0 ราย *อ้างอิงงานวิจัย MELASMA: A HEMIFACIAL STUDY ON A CYSTEAMINE SERUM AS AN ALTERNATIVE TO HYDROQUINONE

Tips: เพื่อประสิทธิภาพในการจัดการฝ้า กระ จุดด่างดำให้ได้ดียิ่งขึ้น แนะนำให้ใช้ Mela Bright [C+] Serum ในช่วงเช้า และใช้ Alpha Night Peel ในช่วงเย็น ซึ่ง Alpha Night Peel สูตรใหม่! จะช่วยดูแลผิวในช่วงเวลากลางคืน ปรับผิวให้ใสเรียบเนียน ลดจุดด่างดำและริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมความมันบนผิวอีกด้วย และแนะนำให้ใช้ HA Booster Serum ทั้งในช่วงเช้า และ ช่วงเย็น เนื่องจากช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเซรั่มวิตามินซีและเซรั่มต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant Serum) ที่ลงก่อนหน้าได้อีกด้วย

ตัวอย่างสเต็ปการใช้งาน

  • ช่วงเช้า: เริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้า > ใช้ Mela Bright [C+] Serum ทั่วใบหน้าและลำคอหรือเฉพาะจุดที่ต้องการ > เพิ่มความชุ่มชื้นด้วย HA Booster Serum > ตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ > ปิดท้ายด้วยครีมกันแดด SPF 50+ PA++++
  • ช่วงเย็น: ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด > ใช้ Alpha Night Peel ทั่วใบหน้าและลำคอ > สามารถต่อด้วยเซรั่มต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant Serum) ได้ > เพิ่มความชุ่มชื้นด้วย HA Booster Serum > บำรุงรอบดวงตาด้วยอายครีม >> ตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์

Alpha Bright Serum

Alpha Bright Serum เซรั่มที่ช่วยลดเลือน ฝ้า กระ จุดด่างดำ เพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว ด้วยการควบคุมปัญหาสีผิวผิดปกติใน 4 ขั้นตอน

ด้วยส่วนผสม Acétyl Glycyl ß-Alanine ไวท์เทนนิ่งเปปไทด์ที่ควบคุมเม็ดสีผิวได้ใน 4 ระดับ ช่วยให้ฝ้าและจุดด่างดำของคุณจางลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ผสานวิตามินซีบริสุทธิ์ (L-ascorbic Acid) ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าจะมอบประสิทธิภาพสูงสุดจนหยดสุดท้าย Phytic Acid แอนติออกซิแดนท์เข้มข้นปกป้องผิว ควบคุมสมดุลน้ำมันบนผิว และ EFG® solution (Essential Fraction of Ginkgo biloba) ชะลอผิวเสื่อมสภาพ เพิ่มความชุ่มชื้นและความกระจ่างใส

จากการศึกษาทางคลินิกโดย General Hospital of Mexico Dr. Eduardo Liceaga ประเทศเม็กซิโก ของการประเมินประสิทธิภาพในการลดเลือนจุดด่างดำของ Alpha Bright Serum เปรียบเทียบกับ Hydroquinone 2% ในกลุ่มอาสาสมัคร 40 รายที่มีฝ้าและผิวคล้ำหลังการอักเสบเป็นเวลา 6 เดือน

ผลการวิจัยพบว่า

  • การรักษาจาก Alpha Bright Serum และ Hydroquinone 2% มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน โดยที่ Alpha Bright Serum ไม่ทำร้ายผิวและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบต่อผิว สามารถใช้งานได้ในระยะยาว
  • ฝ้าลดลง 28%
  • รอยดำหลังอาการอักเสบลดลง 41%
  • อาสาสมัครบางรายมีอาการฝ้าดีขึ้นถึง 71%

ถึงแม้ว่า การรักษาฝ้าด้วยสกินแคร์จะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการรักษา แต่วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัย ช่วยรักษาและดูแลผิวได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว เพียงดูแลฝ้าให้ถูกวิธี มีวินัย และดูแลอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง เพียงเท่านี้ปัญหาฝ้าที่เป็นอยู่จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายขาดได้ในที่สุด

Share